ตอนที่ 2.3 โอเวอร์โดส 3
บทที่ 2.3 โอเวอร์โดสค่ะ (3)
[ฮ้า~ อากาศข้างนอกนี่ดีจริงเลยน้า]
กางแขนออกกว้าง ๆ ค่อย ๆ ยืดแล้วก็หมุน เพราะอยู่ใต้ดินมานาน ทำให้แม้เพียงด้านนอกของห้องทดลองก็รู้สึกว่าอากาศสดชื่นแล้ว
[—ฮึบ เอ๊ะ?]
เมื่อหันไปมองที่บริเวณมุมของพื้นที่ ก็พบว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งเข้ามาในสายตา
[ลิลี่จังยังตื่นอยู่เหรอ?]
เมื่อได้ยินเสียงไม่คาดฝัน ลิลลี่ก็หันหน้ามามองที่ทางออก
[อ๊ะ คือว่า…อื้อ คุณชานอน…สินะคะ]
[ใช่จ้า อุตส่าห์จำกันได้ด้วยนะเนี่ย]
เดินเข้าในห้องอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ไปอยู่ข้าง ๆ เตียงใกล้กับลิลลี่
คงจะบอกว่าสีหน้าดูดีไม่ได้ เพราะสภาพตอนนี้ดูยังไงก็ทรมาณอยู่มากกว่า
[ที่นี่ไม่มีใครอื่นนอกจากคุณหมอมาหรอกค่ะ เลยจำได้]
จะว่าไปก็จริง เพราะเห็นแต่กริมม์จริง ๆ
รอบ ๆ บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้ใกล้กับอะไรเสียด้วย
งั้นแรกเริ่มเดิมที่แล้วกริมม์เป็นอะไรกับลิลลี่กันแน่นะ
[คุณกริมเนี่ยเป็นพ่องั้นเหรอ?]
ทันใดนั้นลิลลี่ก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
[ไม่ใช่หรอกนะคะ คุณหมอเป็นเพื่อนสมัยเด็กของคุณแม่น่ะค่ะ…คุณแม่เป็นคนขอร้องให้พาหนูมาอยู่นี่ค่ะ]
[เห เข้าใจแล้วละ เกี่ยวข้องกันแบบนี้นี่เอง]
ระหว่างกริมม์คงจะมีเรื่องอะไรสักอย่างก็เป็นได้ แต่ไม่ค่อยชอบล้วงลึกเจาะใจเท่าไหร่นัก
[เพราะแบบนี้เลยต้องห่างจากบ้านแล้วมารักษาอยู่ที่นี่สินะ]
[ใช่แล้วค่ะ ประมาณครึ่งปีได้แล้วละค่ะ…คุณแม่เองก็ไม่เคยจะมาเยี่ยมด้วยสิ…ช่วยไม่ได้นะคะ]
ลิลลี่เผยดวงตาอันเศร้าโศกออกมาเล็กน้อย
[ลำบากแย่เลยนะเนี่ย แต่ว่าเดี๋ยวยาก็จจะเสร็จแล้วละ อดทนอีกหน่อยนะ]
[อื้ม ขอบคุณนะคะ นี่คุณชานอน คุณชานอนเป็นจอมเวทจริง ๆ เหรอ?]
[ก็ใช่นะซี่]
หลังพูดจบก็หยิบคฑาขึ้นมาแล้วแสดงเวทมนตร์ให้ได้เชยชม
เมื่อได้เห็นแล้วลิลลี่ก็ทำตาเป็นประกาย
[ยอดเลยเลย! งั้นแปลว่าเดินทางอยู่จริง ๆ ด้วยสินะคะ]
[อื้อ ก็ไปนู้นที่นี้ทีน่ะนะ]
[ว้าว เจ๋งมากเลยนะคะ…! หนูเองก็อยากออกเดินทางบ้างจัง]
[สนใจเหรอ?]
ลิลลี่พยักหน้าให้อย่างเงียบ ๆ
แต่ก็ รับรู้ได้เลยว่ากำลังตื่นเต้นอยู่ในใจ
[เพราะว่าทำได้แค่มองข้างนอกผ่านหน้าต่างมาตลอดเลย]
[งั้น ถ้ารักษาหายแล้วเราไปที่ไหนกันสักที่ไหม?]
[ตอนนี้…อยากไปงานเทศกาลจังเลย…อยู่แค่นี้เองแท้ ๆ ดูน่าสนุกมาเลยค่ะ]
ลิลลี่มองผ่านไปข้างนอกหน้าต่างด้วยความว่างเปล่า
ถึงจะว่างเปล่า แต่ดวงหน้านั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความอิจฉา
“ซัลเอนา” เป็นโรคที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้ แถมยังสามารถติดต่อกันผ่านสารคัดหลั่งได้อีกด้วย
และสิ่งนั้นคือความลำบากอย่างถึงที่สุด เพราะแค่ดูแลผู้ป่วยติดเตียงแค่นั้นก็เพิ่มโอกาสติดเชื้อมากแล้ว
เพราะเหตุนั้น ครั้งหนึ่ง “ซัลเอนา” เคยทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ทิ้งผู้ป่วยติดเชื้อไว้กลางภูเขาลึกแล้วปล่อยให้ตายไปอยู่
และด้วยการกระทำอันไร้มนุษยธรรมเช่นนี้จึงทำให้จำนวนผู้ป่วยลดลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากปลายทางของผู้ที่ติดเชื้อนั้นไม่ได้มีมากนัก
ถึงแม้การระบาดครั้งใหญ่นั้นจะผ่านมาถึงสามร้อยปีแล้วก็ตามหรือต่อให้อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบก็ตาม แต่ทุกคนยังคงรู้จักถึงเหตุการณ์อันโด่งดังนี้
และด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ทั้งหมอหรือคุสึชิที่พยายามจะหาสาเหตุถึงได้มีน้อยเอามาก ๆ เพราะโดนส่วนมากแล้วก็ไม่มีใครอยากจะเข้าไปรักษา และด้วยการกระทำของมนุษย์นี้ทำให้ครั้งหนึ่งเกือบสูญพันธุ์กันเพราะไม่อยากจะเสี่ยงเข้าไปดูแลอีกด้วย
[ต้องได้ไปแน่นอน ปีหน้าน่ะนะ]
[ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะดีนะคะ]
ลิลลี่แอบยิ้มออกมา ดูท่าทางคงจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่
และนี่คือสิ่งที่ชานอนเคยได้รับเมื่อนานมาแล้ว เธอหยิบจี้ห้อยคอที่มีรูปเทพธิดาแห่งการเดินทางสลักอยู่ แล้วยื่นมือไปโอบคอของลิลี่
[ถะ ถ้าเข้าใกล้ขนาดนั้นเดี๋ยวจะแย่เอานะคะ…]
ลิลลี่หรี่ตาแล้วย่นคอลง
จากนั้นดูท่าจะเริ่มรู้สึกถึงน้ำหนักบางอย่างบนคอของตน
[เอ๋ นี่คือ…]
[ว่าไงดีนะ เป็นสร้อยคอที่เกี่ยวกับเทพธิดาแห่งการเดินทางน่ะ ฉันไม่ได้ใช่ด้วยสิ ให้นะ]
[ขะ ขอบคุณ…มากนะคะ]
ลิลลี่ทำท่าทางดีใจแล้วยกมืออันอ่อนแรงไปแตะสร้อยคอ
[จะดูแลอย่างดีเลยค่ะ]
[เท่านี้ก็จะออกเดินทางได้แล้วนะ ตั้งตารอได้เลย]
[ค่ะ…แต่ว่า]
เพียงแต่ว่าลิลลี่ก็ยังคงทำสีหน้ามืดมนดังคาด
เรื่องของร่างกายตัวเอง ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าเหลือเวลาอีกไม่ได้มา
เพียงแต่
[ยังไงซะเดี๋ยวก็หายแล้วละ ทำตัวสบาย ๆ ก็ได้ ก่อนอื่นปีหน้าก็จะได้ไปเทศกาลแล้วนะ]
[อื้ม…ตั้งตารอเลยค่ะ]
หลังจากพูดจบลิลลี่ก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทางอ่อนแรง
****
[ว่าแล้วเชียว การจะทำให้ยาสมบูรณ์ได้เนี่ย การทดลองยังไงก็สำคัญละนะ]
ชานอนโพล่งออกมาเช่นนั้น
[แน่นอนว่าสำคัญจริง ๆ แหละ แต่เรื่องที่เราต้องทำมีเป็นภูเขาเลากา แถมพิษยังทำให้เราทดลองอะไรได้ยาก เพราะงั้นต้องหาวิธีทำให้พิษก่อนลงก่อนละนะ…]
ตั้งแต่ชานอนเข้ามาช่วยก็สองวันแล้ว เริ่มเห็นทางไปต่อแล้วก็จริง แต่ด้วยสถานการณ์ที่ทดลองได้จำกัดครั้งและตอนนี้เหลือเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้ทรงไม่ค่อยจะดีนัก
ระหว่างที่เป็นแบบนั้นหมายความว่ายิ่งวัตถุดิบลดลงเท่าไร เวลาของลิลลี่ก็ยิ่งหายไปเท่านั้น
[แต่ว่า เงื่อนไขที่ทำให้เดินหน้ารวดเดียวไม่ได้เนี่ยหินเอาเรื่องเนอะ]
[นั่นมันก็ใช่…แต่การทดลองต่อมันก็เสี่ยงมาก! มีคนตายไปกี่คนแล้วกัน…]
กริมม์ที่ทำสีหน้าคร่ำเครียดอยู่กำลังถือยาที่ยังไม่เสร็จไว้ในมือ
เดิมทีเป้าหมายของชานอนคือการตายอยู่แล้ว ถ้าเป็นตอนนี้อาจจะเป็นจริงก็เป็นได้
ชานอนที่คาดหวังเช่นนั้นกำลังทำตาเป็นประกาย
[นี่ ๆ เจ้านี่น่ะ มาทดลองกับร่างฉันไหม?]
[หา…?]
วินาทีนั้นกริมม์ทำหน้าแข็งทื่อ
กระพริบตาด้วยความเร็วสูงจากนั้นจึงขมวดคิ้ว
[ไม่สิ ไม่ ๆ …เอ๊ะ หรือที่บอกว่าเตรียมตัวทดลองไว้ก็คือ—]
[ฉันอง]
[ทำไมกันเล่า!?]
กริมม์มีท่าทีสับสนและเอามือกุมหัวไว้
[ก็…ก็มัน อาจจะตายก็ได้ไม่ใช่เรอะ? ดูมาหลายวันก็คิดว่าน่าจะรู้นะ ว่าผลข้างเคียงของมันสุดยอดแค่ไหน ไม่เห็นสภาพของหนูที่ตายหรือไงฮะ!? สาบานต่อพระเจ้าเลยว่าชาตินี้ไม่เคยทำใครตายนอกจากหนูมาก่อนด้วย ดังนั้น…ถ้าเธอดื่มเข้าไปละก็ตายจริงแน่ จริง ๆ เลย เป็นเรื่องตลกที่น่าสนใจดีแต่ขำไม่ออกนะ]
[แต่ว่า ก็เป็นเรื่องทำต้องนี่?]
ถ้าไม่ทดลองยาผลข้างเคียงก็จะไม่หายไป ถ้าไม่ทดลองตอนนี้ก็จบกัน
กริมม์ทำได้เพียงเม้มปาก ภายในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก
[…ชานอน เธอเนี่ยเป็นคนดีนะ ทั้งที่ช่วยฉันมาจากพวกทวงหนี้ ทั้งยังคิดจะสละชีวิตตัวเองเพื่อลิลลี่อีก]
[อ๊ะ ไม่ใช่นะ ไม่ได้กะจะพูดอะไรที่ดูสูงส่งขนาดนั้น…]
ชานอนปฏิเสธออกมาก็จริง แต่กริมม์นั้นคิดได้แต่เพียงว่าเป็นการถ่อมตนเท่านั้น
[ขอบคุณที่รู้สึกแบบนั้นนะ แต่ผลข้างเคียงมันหนักมาจริง ๆ นะ ถ้าเราไม่ฝืนแล้วมาร่วมมือกันเหมือนกันก่อนหน้านี้ละก็…]
ทันใดนั้นชานอนก็ส่ายนิ้วซ้ายขวาแล้วทำเสียงจิ๊
แย่แล้ว ถ้าเข้าอีหรอบนี้ต้องทำเป้าหมายไม่สำเร็จแน่ แน่นอนว่าอยากจะช่วยลิลลี่อยู่แล้ว แต่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือการจบชีวิตลง
[และสำคัญสุดเลยคือคนที่ไม่ได้ติดเชื้อซัลเอนาอย่างเธอถึงดื่มเข้าไปก็พิสูจน์ไม่ได้อยู่ดีว่าพิษหายไปหรือยังด้วย]
[!]
หลังจบคำพูดของกริมม์ ชานอนก็เหมือนจะปิ๊งความคิดอะไรออกมาได้สักอย่าง
จริงด้วย ถ้าทำแบบนั้นละก็คงปฏิเสธไม่ได้แน่
[นี่คุณกริมม์ ที่ว่ามามันก็ถูกนะ ถ้าฉันไม่ได้ติดซัลเอนากินไปก็ไม่มีความหมาย]
[ใช่ไหมละ เพราะงั้นเธอน่ะ—เฮ้ย ๆ …จะไปไหน…]
อยู่ ๆ ชานอนก็เดินขึ้นบันไดของห้องใต้ดินเพื่อจะออกไปด้านนอก
แล้วก็ยิ้มออกมา
[ฉัน จะไปทำตัวให้ติดเชื้อนะ เท่านี้ก็จะทดลองได้แล้ว]
[ใช่ ๆ ถ้าเธอติดเชื้อละก็คงจะ—เอ๊ะ หา!?]
พริบตานั้นกริมม์ก็เบิกตากว้างมากจนคิดว่าจะถลนออกมาได้ด้วยความตกใจ มือที่จับขวดไว้ก็ทำลื่นตก
[บะ บ้าหรือเปล่าเนี่ย!? ซัลเอนามันโรคถึงตายนะ! ถ้ายามันไม่ได้เสร็จจริงเธอจะตายเอานะ!?]
[ก็ใช่นิ?]
[เหมือนเธอจะอยากตายจังนะ ตั้งใจแบบนั้นหรือไง!]
[อะฮะฮะ แต่ว่าฉันเคยติดมาแล้วทีนึงนะ ไม่ตายนะ?]
[อย่างนี่นี่เอง เพราะเป็นจอมเวท—ถึงได้ล้อเล่นแล้วล้อเล่นอีกสินะ! ฉันรู้นะว่าถึงเป็นจอมเวทแต่ติดเชือก็ตายน่ะ! มีเป้าหมายอะไรกันแน่!? เป็นพวกชอบช่วยคนแบบสุดตัวหรือไงเธอน่ะ!?]
แต่ว่าชานอนนั้นกลับส่ายหน้า
[ก็แบบนั้นมันเห็นผลไวกว่านี่ แถมไม่มีเวลาแล้วด้วยไม่ใช่เหรอ? ลงนรกกันเถอะจ้า!]
ชานอนยกนิ้วให้แล้วยิ้มแบบเต็มสูบ
พอเห็นภาพนั้นแล้วกริมม์ที่มองกลับมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุดก็เอามือกุมหัว
[เฮ้ย ๆ…หัวเพี้ยนไปแล้วเหรอ!? ฮ่า ๆ …เพื่อความสำเร็จของยาจำเป็นจะต้องให้ฉันฆ่าเธอเลยหรือไง!?]
[ไม่ใช่ความสำเร็จแต่เป็นลิลลี่จังไม่ใช่เหรอ?]
[…]
ระหว่างที่กริมม์เงียบลงไป ชานอนก็มุ่งหน้าไปหาลิลลี่
[นะ นี่!]
ชานอนเข้าไปในห้องผู้ป่วยของลิลลี่ จากนนั้นก็เข้าไปใกล้เตียงผู้ป่วย
[อ๊ะ คุณชานอน สร้อยคอที่ให้มานี่—]
[อย่างเพิ่งขยับนะ]
[?]
[ก็บอกแล้วไงชานอน! ว่าแบบนั้น—]
[!?]
ภาพฉากนั้นคือภาพชวนให้ต้องอึ้ง
ชานอนก้มตัวลงไป หน้าไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ กับลิลลี่ จากนั้นริมฝีปากของลิลลี่และของตัวเองก็ประกบกัน
จูบนั่นเอง
[นะ นะ…]
[อื้อ..อื้ม!]
กริมม์ทำได้เพียงอึ้ง เนื้อตัวสั่นไปหมด
เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
[—ฮ่า! เท่านี้ก็น่าจะติดเชื้อแล้วนะ?]
ชานอนพูดแล้วทำหน้าซุกซนแล้วเลียริมฝากปากตัวเอง
[วะ วะวะ…]
ทางด้านลิลลี่ที่หน้าแดงอยู่นั้นกำลังจับริมฝีปากจองตัวเองอยู่
[อ๊ะ หรือว่าจะจูบแบบดูดดื่มไปเหรอ? ขะ ขอโทษนะ]
[มะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ…]
[ค่อยโล่งอกหน่อย นี่ คุณกริม]
[อะ อะไร?]
[เท่านี้ฉันก็ป่วยเป็นซัลเอนาแล้ว เอาละ เริ่มรักษาเลย]
พอได้เห็นความบ้าบอนี้เข้าไป ทำให้กริมม์ยังคงค้างอยู่
เพียงแต่จะทำให้เสียโอกาสไม่ได้
[ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงทดลองได้แล้วจริง ๆ …แต่ร่างกายของชานอน…]
[อ๋อ หายห่วงได้จ้า]
ตรงกันข้ามกับกริมม์ที่ทำท่าเหมือนกินของขม ๆ เข้าไปนั้น ชานอนกลับมีท่าทีไร้กังวลและยิ้มออกมา จากนั้น
[ก็ฉัน เป็นอมตะน่ะ]
วินาทีนั้น ความเงียบก็เข้าแทรก
ราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ บรรยากาศในห้องผู้ป่วยสั่นไหว
และ เสียงคำพูดออกได้ปรากฎขึ้น
[หา!?]
กริมม์ที่ดูตกใจออกมาจากส่วนลึกของตัวเองนั้นส่งเสียงออกมา และหัวเราะขึ้นจมูกอย่างไม่ตั้งใจ
[ฮ่า ฮ่า ๆ คิดว่าจะพูดอะไรออกมาซะอีก…ไม่เอาน่า หัวมันตีกันไปหมดแล้วเนี่ย มนุษย์นี่น่ากลัวจริงแท้ ตอนนี้เหมือนสติสตางค์โดนแช่แข็งไปหมดเลย]
[เอ๋ ไม่เชื่อกันเหรอ?]
[มันใช่เรื่องว่าเชื่อหรือไม่เชื่อที่ไหนเล่า]
กริมม์รีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
[ไม่สิ ที่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้มาเป็นห่วงเธอใช่ไหมละ…ฟังนะ ถึงฉันจะดูไม่ใช่แต่ก็เป็นคุสึชินะ เรื่องว่าอมตะมันเป็นไม่ได้เนี่ยก็รู้อยู่ ต่อให้เป็นจอมเวทก็ตาม แต่ยังไงก็ฝืนธรรมชาตไม่ได้หรอก]
กริมม์กอดอกไปด้วยในขณะที่พูด
เข้าใจได้ไม่ยากว่าการที่จะเชื่อว่าเป็นอมตะที่เป็นเรื่องราวกับนิทานเพ้อฝันแบบนั้นมันไม่เป็นเหตุเป็นผล
และการที่พอได้ฟังเรื่องราวในสภาวะแบบนี้ ก็ช่วยไม่ได้ที่จะคิดว่าพูดออกมาเพื่อไม่ให้เป็นห่วงเป็นใยกัน
[เอาเถอะ ดีใจนะที่รู้สึกแบบนั้น งั้น ก่อนอื่นต้องมาตรวจกันก่อนว่าติดเชื้อไหม มาทางนี้เลย]
พอเห็นกริมม์ทำท่าทำทางใจเย็นแล้วกลับไปที่ห้องใต้ดิน ชานอนก็พองแก้มป่องอย่างไม่พอใจ
[โธ่ ทำไมไม่ยอมเชี่ยกันละเนี่ย คุณกริมเป็นพวกหัวทึบเหรอ?]
[ไม่สิไม่ ปกติแล้วใครมาพูดว่าตัวเองเป็นอมตะให้ฟังเนี่ยมันไม่น่าเชื่อถือหรอกนะ…ให้เป็นป้าของฉันที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมาฟังยังหัวเราะเลยมั้ง]
ไม่ไหว ๆ ระหว่างที่แปลกใจกริมม์ก็หันกลับไปที่ห้องใต้ดินแล้ว
ชานอนเลยจับแขนเอาไว้
[เดี๋ยวเถอะ! ทะ ทำอะไรเนี่ย?]
[นี่ ยอมเชื่อกันดี ๆ เถอะน่า มานี่เดี๋ยวสิ]
[ไม่เอาน่า บอกอยู่ว่าต่อให้เป็นจอมเวทที่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องจะทำได้ ก่อนอื่นไปตรวจก่อนว่าติดเชื่อไหม—เฮ้ย คิดจะอะไรทำอะไรเนี่ย!?]
กริมม์ที่ระแวดระวังการกระทำของชานอนอยู่ ก็ส่งเสียงดังออกมา
ชานอนไปหยิบมีดเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็จ่อไว้ที่แขน
[ดูให้ดีนะ]
[ดะ เดี๋ยวก่อน! ทำไมต้องทำขนาดนั้นเนี่ย!? ต่อให้ไม่ทำให้นั้น—]
[ฮึบ]
[อ้าาาาา!]
จากนั้นแขนก็ถูกมีดเล่มนั้นตัด
แผลลึกปรากฎขึ้นบนแขน เลือดค่อย ๆ ไหลออกมาจากปากแผลเป็นทางยาว
[โธ่เว้ย ไม่ค่อยถูกกับเลือดเท่าไหร่ด้วย! ทำอะไรลงไปฮะ!? ต้องรีบห้ามเลือด!]
กริมม์ทำสีหน้าสุดจะทนแล้วรีบหยิบผ้าพันแผลออกมาจากปล่อยปฐมพยาบาล จากนั้นก็มาทางนี้
[ขอดูแขนที! แผลมัน…แผล—เอ๊ะ?]
กริมม์ถึงกับคิ้วกระตุก และขมวดคิ้ว
เลือดหยุดไหลในพริบตา ภาพที่บาดแผลค่อย ๆ หายไปนั้นลอยเข้ามาสายตาของกริมม์
ภาพนั้นทำให้กริมม์ตาค้างและตัวก็อึ้งค้างไปด้วย
[หาย…แล้ว?]
ปากแผลที่เคยเปิดอยู่นั้น ราวกับถูกทำให้ย้อนกลับ
และภาพที่ชวนให้รู้สึกเพ้อฝันนั้นก็ทำให้กริมม์อ้าปากค้าง
[เป็นอม—จริง…ไม่สินี่มัน…เวทมนตร์ฟื้นฟู…?]
[ไม่ใช่อะไรชวนสะดวกแบบนั้นหรอกนะ ฉันเป็นอมตน่ะ เพราะงั้นแผลแค่นี้ไม่ได้กินหรอก]
[ไม่จริง…]
สามัญสำนึกของกริมม์กำลังจะแตกสลาย
[ไม่ใช่ฝันงั้นเหรอ…]
[นี่ รู้เรื่องยัง?]
กริมม์ที่ยังอึ้งเข้าไปจับแขนของชานอน ตรงบริเวณที่เคยเป็นปากแผล
และพอยืนยันได้แล้วว่าแผลหายสะอาดหมดจด ก็เหมือนส่วนลึกในใจถูกกัดกร่อน
[…หายหมดแล้ว อะไรกันเนี่ย เอาจริงดิ?]
พอพูดจบชานอนก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ
[ความเป็นอมตะ…ถึงจะเชื่อทันทีไม่ได้ก็เถอะ…]
เพียงแต่ได้เห็นภาพที่ปากแผลหายไปอย่างชัดเจน
หากได้เห็นภาพแบบนั้นแล้วละก็ ต่อให้ปฏิเสธยังไงก็ไร้ผล
กริมม์เกาแก้มตัวเองอย่างละล้าละหลัง
[ความอมตะ…งั้นเหรอ ถ้าได้เห็นภาพแบบนี้ละก็ ในเมื่อได้เห็นขนาดนี้ละก็ คงมีแต่ต้องเชื่อ…สินะ]
[ใช่ม้า? เพราะงั้นไม่ต้องห่วงฉันหรอกจ้า]
[…เข้าใจแล้ว ฉันเองก็ต้องยอมรับให้ได้ ได้โปรดให้ยืมพลังทีเถอะ…! เธอพูดถูกแล้วละ ว่าต้องการรักษาพวกนี้ไม่มีทางลัดอื่นอีกแล้ว]
[แน่นอน! เป็นเป้าหมายหลักของฉันอยู่แล้วด้วย แต่เรื่องที่อยากจะช่วยลิลลี่จังนี่เรื่องจริงนา]
[เป็นจอมเวทที่แปลกดีจังนะ จริง ๆ เลย]
[เข้าใจแล้วก็ดี งั้นมาเริ่มขึ้นตอนสุดท้ายกันเลย มาทดลองกัน]
ชานอนเอียงขวดที่อยู่ในมือ
เป็นขวดใบเล็ก ๆ ที่บรรจุของเหลวสีเขียวอยู่เต็มขวด
[โอย ไม่น่าให้ดื่มเข้าไปจริง ๆ นะเนี่ย…]
[เท่านี้จะพอให้ตายไหมอะ?]
[อย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิ! ฉันไม่อยากจะเป็นฆาตกรนะ]
[ไม่ต้องห่วง ถ้าคนนึงตายแล้วคนนึงรอดก็ถือว่าเจ๊ากันแล้ว]
[เป็นโลกที่แห้งแล้งจังนะ…จอมเวทนี่ไม่มีเลือดเนื้อไร้น้ำตากันหรือไง?]
[เอาน่า ๆ แค่ล้อเล่นเถอะ จุกจิกจังน้า ฉันเป็นอมตะด้วยสิ งั้นชิมละนะค้า]
ชานอนนั้นไม่ได้ทีท่าว่าจะเกรงกลัวแต่อย่างใด กลับกันถึงกับมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาแล้วดื่มเข้าไปรวดเดียว
อึก เสียงกลืนดังออกมา
[อ๊ากก!! ท่าทางยอดมากเลยนะเธอเนี่ย! เป็นอะไรไหม!? ยังทำใจไม่ได้เท่าไหร่เลย!]
ความกังวลของกริมม์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
[อืม…ขมอะ]
[รสชาติน่ะช่างเถอะ ร่างกายละ!?]
[เอ-…แบบบว่า ไม่ค่อยจะ—อุก]
วินาทีนั้น ชานอนก็จับคอของตัวเอง แล้วเบิกตากว้างอย่างเจ็บปวด
จากนั้นขาก็สั่นระรัว
กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง ราวกับว่าร่างกายกำลังปฏิเสธการตอบสนองทุก ๆ อย่างอยู่
[อ๊ะอะ…อ๊าก!! ว่าแล้วเชียวว่าไมได้ แย่แล้วแบบนี้…!! ชานอน ขอโทษด้วย ควรจะรู้อยู่แล้วแท้ ๆ เรื่องอมตะอะไรนั่นมันโกหก..โอย ทำยังไงดี…!]
กริมม์เอามือกุมหัวและนั่งลงกับพื้นราวกับทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
แต่ทว่า
[—ฮ่า อ๊ะ- อยู่ดี ๆ ร่างกายก็มั่วซั่วไปหมดเลยแฮะ]
[เอ๊ะ…!?]
กริมม์ค่อย ๆ เงยหน้าตัวเองขึ้น ทันใดนั้นก็พลันเห็น ชานอนที่กำลังสบาย ๆ อยู่ตรงนั้น
ทั้งที่จนถึงก่อนหน้านี้สภาพดูแย่สุดเลยแท้ ๆ เลยหันไปลองหาขวดยาว่ายังอยู่ไหมก่อน
[มะ ไม่เป็นอะไรเลยเหรอ?]
[อื-ม ก็ไม่ได้มีอะไรนะ แต่พิษนี่แรงโหดมากเลยแบบนี้ลิลลี่จังตายแน่]
[เป็นอมตะจริงด้วย..อ๊ะ จดก่อน ๆ ]
กริมม์หยิบสมุดมาจดอย่างลนลาน
จากนั้นก็เริ่มตรวจร่างกายของชานอน แล้วจดรายละเอียดของอาการลงไป
[เบื้องต้นมั่นใจแล้วว่าติดเชื้อซัลเอนาจริง ๆ แต่การที่รักษาไม่หายแสดงว่ายาไม่เข้าไปทำปฏิกิริยากับร่างกาย…แต่ว่ายอดเลย รวบรวมข้อมูลได้มากขนาดนี้ในครั้งเดียวเนี่ย…! ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ละก็ต้องทำยาที่สมบูรณ์แบบได้แน่นอน!]
กริมม์ทำท่าตื่นเต้นจนตาเป็นประกายและขีดเขียนปากกาไปเรื่อย ๆ ด้วยความรวดเร็ว
[ทำได้แน่! เริ่มเห็นความหวังแล้ว…! มาพยายามกันเถอะ! ความเป็นอมตะของจอมเวทเนี่ย พอจะเข้าใจแล้ว! เยี่ยมเลย…เยี่ยม! ลุยต่อกันทั้ง ๆ แบบนี้เลย!]
กริมม์ยอมรับสถานการณ์ทั้งหมดและเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
และหลังจากนั้นก็ทำการทดลองต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดหย่อน
พอเสร็จแล้วก็ลองใช้ดู ถ้าไม่ได้ผลก็ไปต่อ ทดลองวัตถุดิบและสูตรใหม่ ๆ ตามหาสูตรที่ดีที่สุดต่อไป การทดลองที่ชวนให้รู้สึกว่าน่าหวาดหวั่นนี้คงจะมีครั้งเดียวในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน เพราะว่าชานอนได้ตายไปถึงสิบครั้งแล้วนั่นเอง
กริมม์ที่มีไฟจัดหนักจัดเต็มนั้น ยังคงก้มหน้าก้มตาสร้างยาไปเรื่อย ๆ
เขาของยูนิคอร์นเหลืออยู่ไม่มากแล้ว จุดหมายของยาเริ่มใกล้เข้ามาทุกที
และถึงจะมีความคิดบางอย่างในหัว แต่บางสูตรหรือบางวัตถุดิบก็ต้องถูกเอาออกไปบ้างเนื่องจากมันจะส่งผลกระทบร้ายแรงกับตัวมนุษย์ด้วย
[อุก…กะ คุณกริมม์…]
ที่ปากตอนนี้กำลังถูกกดเอาไว้เนื่องจากมีอะไรบางอย่างอยู่แน่นเต็มไปหมด
พอสังเกตดูก็จะพบว่าที่มือของกริมม์ตอนนี้ยังมียาตัวใหม่ถือค้างไว้อยู่
[ปะ เป็นอะไร!? อาการป่วยหนักขึ้นงั้น—]
[มะ ไม่ใช่…คือปกติแล้ว…]
[ปกติแล้ว…?]
[คือท้องแน่นไปหมดแล้วน่ะ]
ตอนนี้ชานอนกำลังยืนลูบท้องของตัวเองอยู่ ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเล็กน้อย
[อ๊ะ..อ๋อ-! ขอโทษ นั่นสินะ ถึงจะไม่ตายแต่ท้องก็เต็มได้นี่นา…ไม่ได้สนใจเลย]
กริมม์เกาหัวอย่างรุนแรงและไหล่ตกอย่างรู้สึกผิด
[งั้นมาพักกันสักหน่อยเถอะ เผลอตื่นเต้นเกินไปหน่อยด้วย…]
[เอาน่า ๆ เห็นเส้นชัยอยู่ตรงหน้าแล้วอยากรีบวิ่งไปอันนั้นเข้าใจนะ ร่างกายของมนุษย์ย่อยเร็วอยู่แล้วด้วย…เดี๋ยวขอพักแป๊บนึงละกัน]
[อื้ม ถ้าเรียบร้อยดีแล้วก็เรียกแล้วกัน จะได้ลองส่วนสุดท้ายต่อ]
ด้วยเหตุนั้นจึงขึ้นบันไดและออกจากห้องใต้ดินไป
ตอนนี้เที่ยงคืนแล้ว ลิลลี่หลับไปเรียบร้อย
ผลข้างเคียงของนั้นทำให้ร่างกายรู้สึกเละเทะไปหมด จึงเอามือจับหน้าอกเอาไว้อยู่
ความรู้สึกนุ่มนวลที่รู้สึกได้จากส่วนลึกนั้น คือเสียงตึกตักที่ระบุได้ว่าเป็นเสียงของชีวิต และยังกล่าวได้ว่ายังมีชีวิตอญู่
ชานอนมีความคิดอันยิ่งใหญ่อยู่
[ยังไม่ตายอีก งั้นเหรอ…พิษที่ว่าร้ายที่ว่าแรงที่เสียแรงไปก็ยังไม่ได้ผลเหรอเนี่ย พลังฟื้นฟูนี่โหดจัง]
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะใช้ชีวิตมากว่าพันปี ทดลองตายมาก็หลายครั้ง แต่ร่างกายก็จะทนรับความเจ็บปวดไว้แล้วฟื้นฟูกลับมาทันที ต้องโอบอุ้มความทุกข์ความทรมาณนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะตามหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ต่อไปเช่นกัน
[ช่างมัน ถึงจะไม่รู้ก็เถอะว่าอะไรจะเชื้อเชิญเราไปสู่ความตายได้ แต่เอาเป็นว่ายาทดลองไม่ได้ผลละเนอะ]
พอพูดจบชานอนก็หายใจเข้าออกลึก ๆ
ที่เหลือก็คือ การทำยารักษาลิลลี่ให้สำเร็จให้จงได้
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่ออกมาสูดอากาศด้านนอกจึงได้ตัดสินใจกลับไปที่ห้องใต้ดิน
[เอาละ เพื่อช่วยลิลลี่ให้ได้มาทดลองต่อกันเลย! ดาหน้าเข้ามาไอเจ้าผลข้างเคียง!]
[กลับมาแล้วเหรอ ดีละ มาต่อกันเลย!]
หลังจากนั้นก็เริ่มทำการสร้างยาและทดลองต่อ
ห้าครั้ง หกครั้ง ระหว่างที่ได้ลิ้มลองความตายเข้ามา การทดลองก็ยังคงดำเนินไป
ผลข้างเคียงอ่อนลงเรื่อย ๆ เริ่มมองเห็นทางออกชัดเจนขึ้น
และแล้ว การทดลองที่จำกัดจำนวนครั้งนี้ ในการทดลองที่จำนวนแทบจะไม่เหลือแล้วนี้ ก็สำเร็จอย่างสมบูรณ์
[นะ…นี่ไงละ…]
กริมม์มือไม้สั่นและถือขวดยาเอาไว้ในมือ
สีที่บอกกล่าวที่ถึงลางร้ายได้เปลี่ยนไปเป็นสีขาวอมม่วงราวกับสีของเขายูนิคอร์นได้ปลดปล่อยความพิศวงออกมา
ทั้งยาสมุนไพรและสมุนไพรและวัตถุดิบมากมายหลายเข้าด้วยกันจึงได้ก่อกำเนิดออกมาเป็นยาของกริมม์
[สำเร็จแล้ว สินะ]
[เหลืออีกแค่สามครั้งเองนะเนี่ย ดีจังที่เสร็จทัน…ชานอน ลองดื่มเข้าไปได้ไหม?]
ชานอนพยักหน้า
เธอเองที่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อซัลเอนา หยิบยกขวดยาขึ้นมาไว้ใกล้ ๆ ปาก
มองหน้ากริมม์ที่พยักหน้าให้ แล้วกระดกมันลงไปในทีเดียว
[…เป็นไงบ้าง…?]
[…เอ๋ ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นเลย]
[เอ๊ะ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง!?]
ระหว่างที่กริมม์ตกอยู่ในความตื่นตระหนก ชานอนก็เผลอเรอออมา
กริมม์จึงเข้ามาตรวจสอบร่างกายด้วยใบหน้าฉงนน หลังจากที่การตรวจเสร็จสิ้น ก็กลืนน้ำลายเสียงดังอึกออกมา
[หายแล้ว…ยาสำเร็จแล้ว!]
[เอ๋! ไม่มีผลข้างเคียงงั้นหรอกเหรอ!?]
[—สมบูรณ์แล้ว…!]
[ฮูเร่-!! ชาย-โย!!]
ชานอนผายมือกว้างแล้วเข้าสวมกอดกริมม์แล้วร้องด้วยความดีอกดีใจ
ส่วนกริมม์ก็ร้อง อุหวา! ด้วยความตกใจ
[สำเร็จแล้ว-! …เอ่อ ขะ ขอโทษที่จู่เข้า ๆ ไปกอดนะ…]
กริมม์ที่ตกใจอยู่พักนึงก็เดินไปดูตัวอย่างที่สมบูรณ์
[อะ ฮ่า ๆ ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าสมบูรณ์แล้วสินะ]
[อา..สำเร็จแล้ว…!]
และด้วยเหตุนี้ กริมม์ก็สามารถทำยารักษาโรคซัลเอนาได้สำเร็จ
****
[คุณชานอน ขอบคุณจริง ๆ นะคะ]
ลิลลี่ที่ยิ้มออกมาหน้าบานเงยหน้ามองชานอนอยู่
[เพราะคุณกริมม์ต่างหาก ฉันแค่ทำหน้าที่ลองยาไปเพียบเท่านั้นเอง]
[ไม่หรอก ๆ เพราะชานอนนั่นแหละ ที่ได้บังเอิญมาเจอกับคนอย่างเธอเนี่ยยอดเลยจริง ๆ ขอบคุณนะ]
[ก็ว่าโชคดีจริง ๆ แหละเนอะ]
ทางด้านของชานอนนั้นตัวโรคซัลเอนายังไม่ได้หนักมากจึงฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ ส่วนลิลลี่ยังต้องใช้เวลาสักพัก
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็สามารถจะลุกและเดินไปไหนมาไหนได้แล้ว
และคนที่จะเข้าใจความสุขของการที่ได้เดินไปเดินมาอย่างอิสระได้นั้นคงมีแค่เพียงลิลลี่คนเดียวที่รู้ แม้จะเป็นแค่การเดินในบ้านก็ตาม
สีหน้ามืดมนก่อนหน้านี้ก็เช่นกัน ตอนนี้ได้พังทลายและแปรเปลี่ยนไปสดใสเรียบร้อยแล้ว
นอกเหนือจากนั้นคงเป็นเสียงครึกครื้นจากงานเทศกาลที่ยังคงไม่หายไป
[อ๊ะ วันนี้วันเทศกาลวันสุดท้ายแล้วนะ ลิลลี่จัง]
[อือ แต่ว่า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ]
ลิลลี่ยิ้มออกมา
[เพราะปีหน้า คุณหมอจะไปด้วยกันค่ะ! แน่นอนเลย!]
ใบหน้านั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังต่างกับตอนที่ได้พบกัน
ตอนนี้ได้เจอกันครั้งแรกนั้นคงเป็นการทำตัวเข้มแข็งอย่างแน่นอน ความเป็นผู้ใหญ่ที่ว่านั่นหายไปแล้ว เหลือไว้แค่เพียงความเดียงสาของเด็กเท่านั้น
[หุหุ ดีเลยเนอะ ก่อนจะถึงปีหน้าก็กลับมาแข็งแรงให้ได้นะ—งั้นฉัน จะไปแล้วนะ]
[จะไปแล้วเหรอ อยู่ต่ออีกหน่อยก็ได้แท้ ๆ … ถึงเงินกู้จะยังอยู่เยอะก็ตามแต่คงจะสร้างรายได้มาเพิ่มอื้อซ่าเลย—]
[อะฮะฮ่า สมเป็นคุณกริมเลยเนอะ แต่ว่าฉันเป็นจอมเวทที่เดินทางอยู่นะนะ ยังไงก็ชอบการเดินทางคนเดียวอย่างไร้กังวลอยู่ดีน่ะ]
[งั้นเหรอ…ถึงจะเป็นเวลาสั้น ๆ แต่ก็สนุกมาเลยนะ]
[อื้ม ฉันเองก็เหมือนกัน แต่ขอไปหาที่ตายของตัวเองต่อก่อนนะ]
[จริง ๆ เลย เป็นจอมเวทที่แปลกจริง ๆ งั้นฉันเองก็ขอภาวนาให้เธอเจอที่ตายดี ๆ จากตรงนี้นะ ครั้งต่อไปที่เจอกันเดี๋ยวจะทวงถามว่าทำไมยังไม่ตายแล้วกัน]
พอพูดจบกริมม์ก็ยิ้มให้
[หุหุ ตั้งหน้าตั้งตารอนะจ๊ะ]
[อา แล้วก็นี่ด้วย]
กริมม์หยิบขวดที่อยู่บนโต๊ะมายื่นให้
[ยารักษาโรคซัลเอนาน่ะ เหลืออยู่ขวดนึงพอดี]
[จะดีเหรอ?]
[อืม เธอที่ออกเดินทางพกไว้จะดีกว่า จะได้ช่วยคนได้เยอะ ๆ ไง ช่วยใช้ให้คุ้มที่นะ]
[ขอบคุณนะ ขอรับไปละ]
หลังจากพูดจบชานอนก็สะบัดเสื่อคลุมของตัวเอง
[งั้นก็ ไปก่อนจ้า]
[ไว้เจอกันนะค้า~!!]
[ลาก่อน!]
จากนั้นเมื่อสายตามองส่งของทั้งสองไกลออกไป ชานอนก็ได้ทิ้งเมืองไว้ด้านหลัง
Chapters
Comments
- ตอนที่ 3.3 เขาวงกตลับกับดักถึงตายค่ะ? 3 มิถุนายน 7, 2023
- ตอนที่ 3.2 เขาวงกตลับกับดักถึงตายค่ะ? 2 มิถุนายน 6, 2023
- ตอนที่ 3.1 เขาวงกตลับกับดักถึงตายค่ะ? 1 มิถุนายน 6, 2023
- ตอนที่ 2.3 โอเวอร์โดส 3 มิถุนายน 4, 2023
- ตอนที่ 2.2 โอเวอร์โดสค่ะ 2 มิถุนายน 2, 2023
- ตอนที่ 2.1 โอเวอร์โดสค่ะ 1 มิถุนายน 2, 2023
- ตอนที่ 1.3 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 3 มิถุนายน 1, 2023
- ตอนที่ 1.2 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 2 พฤษภาคม 31, 2023
- ตอนที่ 1.1 ลองให้มังกรกินดูค่ะ 1 พฤษภาคม 31, 2023
- ตอนที่ 0 บทนำ พฤษภาคม 31, 2023
MANGA DISCUSSION